บทวิเคราะห์

เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับลิเวอร์พูล

เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้สร้างฟุตบอลในแบบเฮฟวี่เมทัล

หากจะพูดถึงผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง ในยุคปัจจุบันแน่นอนว่าชื่อของ เจอร์เกน คล็อปป์ ต้องผุดขึ้นมาในหัวของทุกคนอย่างแน่นอน เจ้าของฉายาเดอะนอมอลวัน คือฉายาที่ตัวของเขาตั้งขึ้นมาเองในสมัยที่พึ่งเข้ามาทำทีมกับสโมสรลิเวอร์พูล เพื่อให้มีความหมายตรงกันข้ามกับโชเซ่มูรินโญ่ อดีตผู้จัดการทีมสโมสร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในตอนนั้น

เจอร์เกน คล็อปป์

เรื่องราวชีวิตของเจอร์เกน คล็อปป์

เขามีชื่อเต็มๆว่าเจอร์เกน นอร์เบิร์ท คล็อปป์ เขาเกิดที่เมืองสตุ๊ดการ์ด ประเทศเยอรมันนี และเป็นชายที่มีเลือดของนักฟุตบอลไหลเวียนอย่างเข้มข้น โดยพ่อของเขา โนเบิร์ท คล็อปป์ ในอดีตเคยเป็นนักฟุตบอลสมัครเล่นมาก่อนและแม่ของเขาอลิซาเบส คล็อปป์ ในอดีตเป็นพนักงานขายของธรรมดา โดยเขาในวัยเด็กอาศัยอยู่แถวหมู่บ้านแบล็คฟอร์ด ในเมืองเก็ตเต้น โดยในวัยเด็กของเขา ก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆทั่วไป ที่โตมากับการเล่นฟุตบอล และแม้ว่าในวัยเด็กเขามีความปรารถนาเป็นหมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับไม่เชื่อว่าตัวเองจะเป็นได้ เพียงเพราะเขาคิดว่าตัวเองไม่ฉลาดพอ แต่ชายที่ทำให้เขารู้จักฟุตบอลก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนั่นก็คือพ่อของเขาเอง นั่นจึงทำให้เขาได้เล่นฟุตบอลกับสโมสรท้องถิ่นอย่างเอสเก้เลสเต้น จนกระทั่งอีกครั้งได้มีชายคนหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยชีวิตของเขาและสร้างความฝันให้กับเขาจากเด็กหนุ่มธรรมดา ที่ไม่มีความฝันอันยิ่งใหญ่เลยและคนที่เข้ามาจุดประกายให้กับเขานั่นก็คืออาจาร์ยใหญ่ผู้ที่แจกใบรับรองความรู้ ในการเป็นผู้จัดการระดับ A โดยอาจารย์ใหญ่ได้พูดกับคล็อปป์ ว่าผมหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อนาย ในเรื่องฟุตบอลไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่สำหรับนาย จากคนที่ไม่ตั้งใจทำอะไรอย่างจริงจังเลย เพราะเขาเชื่อว่าไม่สามารถทำอะไรได้สำเร็จ เขากลับมาลุกขึ้นพยายามต่อสู้อีกครั้ง และเขาก็ได้กลายเป็นคนที่มีความฝันว่า เขาจะเป็นนักฟุตบอล และ ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ดีในประเทศเยอรมันให้ได้

อุปสรรคในเส้นทางของโลกฟุตบอล

ในขณะที่เขาเล่นกับทีมฟุตบอลสมัครเล่นอยู่นั้น เขาก็ต้องทำงานพาร์ทไทม์ร้านเช่าวีดีโอไปด้วยเพราะว่าฝีเท้าของเขาไม่ดีสักเท่าไหร่โดยในปี 1988 เขาได้เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยจึงทำให้ในตอนนั้นเขาได้มีบทบาทในการเป็นผู้จัดการทีมครั้งแรกในการคุมทีม แฟร็งเฟริต รุ่นเด็ก จนในฤดูร้อนในปี1990 เขาได้มีโอกาสเซ็นสัญญาอาชีพกับสโมสรไมนซ์ 05  โดยทัศนะคติความมุ่งมั่นทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนๆ เขาได้เล่นในตำแหน่งกองหน้าก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นกองหลังในปี 1995 และในปีเดียวกันเขาก็ได้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาจนกระทั่งในปี2001 เขาได้ตัดสินใจแขวนสตั๊ดในทันทีโดยทิ้งสถิติที่เขาได้สร้างไว้ในการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมด้วยจำนวน56 ประตู

การรับหน้าที่ผู้จัดการทีมของเขา

หลังจากประกาศแขวนสตั๊ดเขาก็ได้ เปลี่ยนบทบาทของตัวเองมารับบทผู้จัดการทีมของไมนซ์ในช่วงข้ามคืน ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้รับการอบรมการเป็นโค้ชมาก่อนเลยเขา ใช้เวลาไม่กี่ฤดูกาลก็สร้างปรากฏการณ์พาไมนซ์เลื่อนชั้นมาเตะในบุนเดสลีกาได้สำเร็จ แม้อีก 3 ฤดูกาลต่อมาไมนซ์จะตกชั้นลงไปอีกครั้งก็ตาม ในซัมเมอร์ปี 2008 ความท้าทายที่ของเขาได้รับต่อจากนั้นคือ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในเวลานั้น ดอร์ทมุนด์ ตกเป็นลูกไล่ของ บาเยิร์น มิวนิค และได้ไม่เคยสัมผัสกับแชมป์บุนเดสลีกามาเป็นเวลานานถึง 6 ปีด้วยกัน การเข้ามาของเขา เลยปลุกประกายความหวังของแฟนบอลบางส่วนขึ้นมา แต่ก็มีอีกบางส่วนที่ไม่เชื่อในฝีมือของเทรนเนอร์รายนี้ และใน 2 ปีแรกของเขาทุกอย่างมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรติดมือมาเป็นชิ้นเป็นอัน จนมีข่าวว่าแฟนบอลและบอร์ดบริหารเริ่มไม่ไหวกับผลงาน แต่แล้วในฤดูกาล 2010 – 2011เขาได้สร้างปรากฎการณ์ขึ้นมาเปลี่ยนให้ ดอร์ทมุนด์ กลายเป็นทีมที่มีเกมรุกน่ากลัว เกมรับเหนียวแน่น แล้วหักปากกาเซียนทุกคนด้วยการนำ “เสือเหลือง” กลับขึ้นมาครองแชมป์บุนเดสลีกา อีกครั้งในรอบ 8 ปี เท่านั้นยังไม่พอในปีถัดมาเขายังนำเสือเหลืองครองดับเบิ้ลแชมป์แบบยิ่งใหญ่ จากนั้นในปี 2015 เขาได้ตัดสินใจเดินทางหาความท้าทายอีกครั้งคราวนี้เป็น ลิเวอร์พูล

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ด้วยผลงานดังกล่าว ทำให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจเลือกเขามารับงานในซัมเมอร์ปี 2008 เพื่อหวังแก้วิกฤตความตกต่ำของทีมที่จบในอันดับ 13 ของซีซั่นดังกล่าว ในเดือน พฤษภาคม 2008 เขาได้จรดปากกากลายเป็นกุนซือคนใหม่ของสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยสัญญา 2 ปี ซึ่งฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีม ก็สามารถพา “เสือเหลือง” เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ในศึก เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ ได้สำเร็จ และทำทีมจบอันดับ 6 ในตาราง และอันดับที่ 5 ในซีซั่นต่อมา ก่อนที่จะประสบความสำเร็จด้วยการความแชมป์ บุนเดสลีก้า ฤดูกาล 2010-2011 และ 2011-2012 ระหว่างฤดูกาล 2011-2012 คล็อปป์ ทำทีมเก็บ 81 แต้ม สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสโมสร นอกจากนี้ยังทำสถิติคว้า 47 แต้มจากครึ่งฤดูกาลหลังอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอในวันที่ 12 พฤษภาคม 2012 เขาสามารถพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ ทั้งในลีกและบอลถ้วยรายการ เดเอฟเบ โพคาล ประจำฤดูกาล 2011-2012 สำหรับฤดูกาล 2012-2013 ดอร์ทมุนด์ ต้องพบกับความยากลำบากในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อพวกเขาถูกจับเข้าไปอยู่ในกลุ่มโหด “กรุ๊ปอ็อฟเดธ” ร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และ อาแจ็กซ์ อย่างไรก็ดี คล็อปป์ สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการไม่แพ้ใครเลยและเข้ารอบต่อไปด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ก่อนที่จะพาทีมทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศพบกับคู่ปรับ บาเยิร์น มิวนิค และพ่ายไปด้วยสกอร์ 1-2 จากประตูชัยของ อาร์เยน ร็อบเบน ในนาทีที่ 89 เริ่มต้นซีซั่น 2013-2014 คล็อปป์ ได้รับการต่อสัญญาระยะยาวและไปสิ้นสุดเมื่อเดือน มิถุนายน 2018 โดยฤดูกาลนั้นเข้าพาทีมจบอันดับ 2 เป็นรอง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ถึง 19 แต้ม จนกระทั่งในฤดูกาล 2014-2015 เขาประสบปัญหาผู้เล่นเจ็บและฟอร์มตก เป็นเหตุให้ทีมพ่ายยับและร่วงไปอยู่ท้ายตารางนานกว่าหลายเดือน ก่อนที่จะค่อย ๆ ทะยานขึ้นมาสู่อันดับครึ่งบนของตารางได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2015 คล็อปป์ ได้ประกาศแยกทางกับทีมหลังจบฤดูกาลนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับผลงานที่ย่ำแย่ แต่จะยังคุมทีมจนจบฤดูกาล

ลิเวอร์พูล

ในวันที่ 8 ตุลาคม 2015 เขาได้บรรลุข้อตกลง 3 ปี ในการคุมลิเวอร์พูล แทนที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมไอร์แลนด์เหนือคนเก่าการประเดิมงานครั้งแรกของเขาจบลงด้วยผลการบุกไปเสมอท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 0-0 ในนัดแรกที่เขาคุมทีมสโมสรดังแห่งเกาะอังกฤษอย่างลิเวอร์พูลจนถึงในปัจจุบัน

เรื่องราวในวัยเด็กของ โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน

 

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *